เจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ งานวันกตัญญูน้อมอุทิศถวายอดีตเจ้าอาวาสวัดก้ำก่อ ปีที่ 2 เสริมสิริมงคลสืบชะตาหลวง ทอดผ้าป่าสามัคคีบูรณะพื้นศาลาการเปรียญ

วันที่ 22 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ วัดก้ำก่อ ตำบลจองคำ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พระสุมณฑ์ศาสนกิตติ์ ดร.เจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เจ้าอาวาสวัดดอยกองมู เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ งานวันกตัญญูน้อมอุทิศถวายอดีตเจ้าอาวาสวัดก้ำก่อ ปีที่ 2 เสริมสิริมงคล สืบชะตาหลวง ทอดผ้าป่าสามัคคีบูรณะพื้นศาลาการเปรียญ โดยมีนายสุรสิทธิ์ ตรีทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยนางสาวกมลลักษณ์ บุญซื่อ วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำพุทธศาสนิกชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวนมากร่วมพิธีในครั้งนี้

งานดังกล่าวจัดขึ้น เพื่อน้อมอุทิศถวายแด่อดีตเจ้าอาวาสและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่คณะสงฆ์ และคณะศรัทธา อีกทั้งเพื่อเป็นการทำนุบำรุงศาสนสถานให้เกิดความมั่นคงแข็งแรง โดยได้มีการทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมทบทุนในการบูรณะพื้นศาลาการเปรียญของวัดก้ำก่อด้านทิศเหนือให้มีความมั่นคงแข็งแรง

งานวันกตัญญูน้อมอุทิศถวายอดีตเจ้าอาวาสวัดก้ำก่อ ปีที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 กันยายน 2568

โดยในวันที่ 21 กันยายน 2568 คณะศรัทธาสาธุชน ได้ช่วยกันจัดเตรียมงาน

วันที่ 22 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น.พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์มาติกา ทอดผ้าไตรบังสุกุล เวลา 09.49 น.พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวง ถวายผ้าป่าสามัคคี องค์ประธานสงฆ์พิจารณาผ้าสุกุลจีวร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม ประธานสงฆ์สัมโมทนียกถา พระสงฆ์อนุโมทนา กรวดน้ำ รับพร เป็นเสร็จพิธี.

” วัดก้ำก่อ ” ก้ำก่อ ภาษาไทยใหญ่แปลว่า ” ดอกบุนนาค ” ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า วัดก้ำก่อสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2433 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 2ปีขาล จ.ศ. 1252 โดยเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด นามว่า ” ครูบาเฒ่า ” ชาวไทใหญ่อพยพมาจากเมืองเชียงทอง เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดนี้ขึ้น ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า ” ตุ๊เจ้าเจียงตอง ” [ ออกเสียงตามภาษาพื้นเมือง ] หมายถึงพระที่มาจากเมืองเชียงทองนั่นเอง

วัดก้ำก่อ เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่คู่เมืองสามหมอก ด้านหน้าวัดโดดเด่นด้วยสิงห์คู่ศิลปะไทยใหญ่ 2 ตัวยืนขนาบซ้ายขวา ถัดไปฟากถนนเป็นเจดีย์สมส่วนขนาดย่อม ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นทางเดินหลังคาคลุม มีซุ้มประตูหลังคาซ้อนชั้นตกแต่งลวดลายฉลุสังกะสีอย่างวิจิตรบรรจง ทางเดินสายนี้นำเข้าสู่ศาลาอันขรึมขลัง ข้างในมีพระพุทธรูปศิลปะไทยใหญ่-พม่า อันสวยงามให้สักการะบูชา.